วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สถานที่ท้องเที่ยว จ.ภูเก็ต

จังหวัดภูเก็ต :: สถานที่ท่องเที่ยว อำเภอเมือง

เขารัง เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่หลังตัวเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รถยนต์สามารถขึ้นไปจนถึงยอดเขา เทศบาลจัดเป็นสวนสุขภาพและสวนสาธารณะ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และชมทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต จากยอดเขาจะแลเห็นตัวเมืองภูเก็ต ทะเลกว้าง เกาะเล็ก เกาะน้อย รวมทั้งทิวทัศน์ของเกาะทั้งใกล้และไกล
สะพานหิน สถานที่พักผ่อนหย่อนใจภายในตัวเมือง อยู่สุดถนนภูเก็ตซึ่งยื่นลงไปในทะเลเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์หลัก 60 ปี ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นที่ระลึกแก่กัปตันเอ็ดเวิร์ด โธมัสไมล์ ชาวออสเตรเลียผู้นำเรือขุดแร่ลำแรกมาใช้ขุดแร่ดีบุกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2452
ตึกสมัยเก่าในตัวเมืองภูเก็ตส่วนมากเป็นตึกสมัยเก่าแบบยุโรป สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว เมื่อครั้งกิจการเหมืองแร่เริ่มเจริญใหม่ๆ ตึกสมัยเก่าเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมแบบจีนด้วยจึงเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบซิโน-โปรตุกีส ลักษณะตึกสมัยเก่าของภูเก็ตนั้นจะมีส่วนลึกมากกว่าส่วนกว้างและไม่สูงนัก ปัจจุบันจะหาดูได้บริเวณถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนเยาวราช และถนนกระบี่ นอกจากนี้ยังมีตึกโบราณที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ศาลจังหวัดภูเก็ต และธนาคารนครหลวงไทย เป็นต้น
เกาะสิเหร่ เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต อยู่ห่างจากตัวเมืองรวม 4 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันนี้ถือเป็นพื้นที่อันเดียวกับเกาะภูเก็ต มีคลองเล็กๆ ชื่อคลองท่าจีนคั่นเท่านั้น ประชากรที่เกาะสิเหร่นี้ส่วนหนึ่งเป็นชาวเล หรือชาวน้ำ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในจำนวนชาวเลที่อาศัยอยู่ในเกาะภูเก็ต เกาะสิเหร่ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่อยู่บนยอดเขา ชายหาดไม่เหมาะสำหรับการการเล่นน้ำ พื้นทรายมีโคลนปน
หมู่บ้านชาวเลชาวเลหรือชาวน้ำ หรือชาวไทยใหม่ เป็นชนกลุ่มน้อยของไทย อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่อยู่ตามเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ในเกาะภูเก็ตมีชาวเลอาศัยอยู่ที่หาดราไว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 17 กิโลเมตร และที่เกาะสิเหร่บริเวณแหลมตุ๊กแก
วัดฉลองอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 8 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4021 ผ่านสามแยกบริเวณสนามกีฬาสุรกุล เลี้ยวซ้ายไปทางห้าแยกฉลอง วัดฉลองจะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงห้าแยกฉลองประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต มีรูปหล่อของหลวงพ่อแช่ม และหลวงพ่อช่วง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวภูเก็ตทั่วไป
อ่าวฉลองอยู่ห่างตัวเมือง 11 กิโลเมตร ทางทิศใต้ของเกาะภูเก็ตไปตามทางที่ไปหาดราไว เมื่อถึงห้าแยกฉลองเลี้ยวซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตรถึงอ่าวฉลอง มีสะพานไม้ทอดยาว ไปในทะเล ชายหาดเป็นรูปโค้งยาวเหยียดมองเห็นทิวมะพร้าวริมหาดเอนลู่ออกทะเล ทะเลบริเวณนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะหาดเป็นโคลน ที่อ่าวฉลองนี้นักท่องเที่ยวจะเช่าเรือไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ หรือเช่าไปตกปลาได้
หาดแหลมกา ใหญ่เป็นหาดเล็กๆ ห่างจากตัวเมือง 16 กิโลเมตร จากห้าแยกฉลอง ใช้ทางหลวง 4024 ทางเข้าอยู่ตรงข้ามวัดสว่างอารมณ์ บริเวณหาดมีเรือให้เช่าไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะเฮ เกาะบอน เป็นต้น
หาดราไว อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 17 กิโลเมตร เส้นทางจาห้าแยกฉลองไปสู่หาดราไว (ทางหลวง 4024) เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดสายหนึ่งของภูเก็ต หาดราไว เป็นหาดที่สวยงามและมีชาวเลอาศัยอยู่
เกาะแก้ว อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร นั่งเรือจากหาดราไวประมาณ 30 นาที มีหาดทรายและธรรมชาติใต้น้ำสวยงามมาก บนเกาะมีรอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ด้วย
แหลมพรหมเทพ อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า บริเวณแหลมพรหมเทพเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดส่วนหนึ่งของเกาะภูเก็ต เหนือแหลมพรหมเทพเป็นที่ราบสำหรับจอดรถซึ่งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล จากหน้าผานี้จะมองเห็นแหลมพรหมเทพทอดยาวออกไปในทะเล จะเห็นเกาะหลายเกาะรวมทั้งเกาะแก้ว ทางด้านขวามือจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหานชัดเจน จากบนหน้าผามีทางเดินลงเขาไปจนถึงสุดแหลมพรหมเทพได้ เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกได้งดงามยิ่งนัก
หาดในหานเป็นหาดที่อยู่ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปทางทิศเหนือ อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 18 กิโลเมตร มีทางไปได้หลายทาง จะไปจากหาดราไวโดยผ่านหรือไม่ผ่านแหลมพรหมเทพก็ได้ หรือถ้ามาจากห้าแยกฉลองไปทางหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปบ้านใสยวน หนองหาน ประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดในหานไม่ยาวนัก หาดทรายขาวสะอาด ด้านหลังของชายหาดเป็นบึง ชาวบ้านเรียกว่าหนองหาน ระหว่างทะเลและบึงมีเพียงหาดทรายของหาดในหานขวางกั้นอยู่เท่านั้น ในช่วงฤดูมรสุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม คลื่นจะแรงมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำเพราะอาจเกิดอันตรายได้
อ่าวเสน เป็นอ่าวเล็กๆ ติดกับหาดในหานไปทางขวา ผ่านโรงแรมภูเก็ตยอช์ทคลับ เป็นชายหาดเล็กๆ ที่สงบ มีโขดหินน้อยใหญ่ หาดทรายขาวสะอาด
จุดชมวิวจากหาดในหานไปหาดกะตะน้อยตามเส้นทางถนนรอบเกาะ จุดชมวิวจะอยู่ระหว่าง 2 หาดนี้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเวิ้งอ่าวถึง 3 อ่าว คือ อ่าวกะตะน้อย อ่าวกะตะ และอ่าวกะรน ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก
อ่าวกะตะอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 17 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ต เมื่อถึงห้าแยกฉลอง เลี้ยวขวาไปตามทางตามถนนหมายเลข 4028 อ่าวกะตะแบ่งออกเป็น 2 อ่าวคือ อ่าวกะตะใหญ่ กับอ่าวกะตะน้อย ทั้งสองอ่าวมีหาดทรายและชายหาดที่สวยงามเหมาะแก่การเล่นน้ำ และใช้เป็นที่ฝึกดำน้ำ เนื่องจากมีแนวปะการังติดต่อกันไปจนถึงเกาะปูซึ่งอยู่ด้านหน้าหาดกะตะ ปัจจุบันหาดกะตะ เป็นหาดหนึ่งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า แหล่งบันเทิงต่างๆ ไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว
อ่าวกะรนอยู่ถัดจากอ่าวกะตะขึ้นไปทางเหนือมีเพียงเนินเขาเตี้ยๆ คั่นอยู่เท่านั้น แต่ถ้าจะไปที่กลางอ่าวกะรนและหมู่บ้านกะรน มีถนนแยกจากอ่าวกะตะไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร อ่าวกะรนใหญ่กว่าอ่าวกะตะ มีชายหาดยาวเหยียด เหนือชายหาดเป็นเนินทรายสูงๆ ต่ำๆ มีสนทะเลต้นใหญ่ๆ และต้นตาลขึ้นเรียงรายอยู่โดยทั่วไป หาดทรายที่อ่าวกะรนขาวสะอาดและละเอียดมาก
สถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำ ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมพันวา มีพันธุ์ปลาน้ำจืดและน้ำเค็มกว่า 100 ชนิด แสดงให้ชม เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชมเด็กและนักเรียน นักศึกษา คนละ 5 บาท ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท จากตลาดบริเวณถนนระนองจะมีรถสองแถวรับจ้างออกตั้งแต่เวลา 09.00 น. ทุกๆ ชั่วโมง จนถึง 15.00 น. รายละเอียดติดต่อโทร. (076) 391126, 391041
สวนผีเสื้อและอควาเรียมภูเก็ตตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร เดินทางไปตามถนนเยาวราชแล้วเลี้ยวซ้ายที่สามแยกหมู่บ้านสามกองไปเล็กน้อย เป็นสถานที่รวบรวมและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในเขตร้อนจำพวกผีเสื้อ แมลง ปลา และปะการัง โดยจัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับธรรมชาติ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ชาวต่างประเทศเด็ก 50 ชาวต่างประเทศผู้ใหญ่ 120 บาท รายละเอียดติดต่อ โทร. (076) 215616, 210861
หมู่บ้านไทยและสวนกล้วยไม้ภูเก็ตอยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร บนถนนเทพกษัตรีย์ ภายในมีการแสดงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การแสดงของช้าง ฟาร์มกล้วยไม้ ฯลฯ เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น. การแสดงรอบเช้าเริ่มเวลา 11.00 น. รอบเย็นเวลา 17.30 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 25 บาท ชาวต่างประเทศผู้ใหญ่ 230 บาท ชาวต่างประเทศเด็ก 120 บาทรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทร. (076) 214860-1
ฟาร์มชนะเจริญตั้งอยู่ที่ถนนชนะเจริญ หลังโรงภาพยนตร์พาราไดซ์ในตัวเมืองภูเก็ต เป็นฟาร์มเลี้ยงจระเข้น้ำจืดและจระเข้น้ำเค็ม เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. มีการแสดงของช้าง วันละ 2 รอบ เวลา 12.30 น. และ 14.45 น. ค่าเข้าชมคนไทย 40 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท
ที่มา http://www.relaxzy.com/province/phuket/attraction.html

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทาน

พรานใหม่ผู้กล้าหาญ

พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง

เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว

วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า

"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"

คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต

ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable040.html

นิทาน

ลาโง่กับสิงโต

เมื่อสิงโตคำรามในยามออกล่าเหยื่อ สัตว์ต่างๆ ที่ผ่าน มาก็จะหวาดกลัวเเละรู้ว่าเป็นเสียงสิงโตจึงมักวิ่งหนี ไปได้ก่อนที่จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของสิงโต

สิงโตจึงทำอุบายไปตีสนิทกับลาเเล้วชวนลาไปล่าเหยื่อ ด้วยกันลาดีใจนักที่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าป่าจึงทำตามที่ สิงโตบอกทุกอย่าง

ลาเข้าไปซุ่มซ่อนในพงไม้ พอสัตว์ต่างๆ ผ่านมาลาก็จะ เเหกปากร้องสุดเสียง พวกสัตว์ต่างๆ ไม่เคยได้ยินเสียง ลา จึงพากันวิ่งไปอีกทางหนึ่งซึ่งสิงโตดักซุ่มอยู่

วันนั้นสิงโตจึงได้อิ่มหนำสำราญกับสัตว์นานาชนิด

ลาก็คุยโอ่อย่างภูมิใจว่าที่สิงโตกินอิ่มได้ก็เพราะเสียง อันน่ากลัวของตน สิงโตก็ได้เเต่ยกยอปอปั้นลาทั้งๆ ที่รู้ว่าสัตว์ต่างๆ นั้นวิ่งหนี เพราะตกใจในเสียงประหลาดๆ ของลาต่างหาก

คนโง่ย่อมตกเป็นเครื่องมือของคนฉลาด

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable056.html

นิทาน

ผึ้งขอพร

พระอิศวรตรัสถามผึ้งที่มักจะนำน้ำผึ้งสดๆ เต็มรวงมาถวาย อยู่เสมอว่า

"เจ้าอยากได้พรใด จงขอมา ข้าจะให้พรเเก่เจ้า"

"ข้าอยากได้เหล็กในพระเจ้าข้า เมื่อต่อยเหล็กในมีพิษใส่ใคร ผู้นั้นต้องตายทันที"

คำขอของผึ้งทำให้พระอิศวรทรงกริ้วที่ผึ้งคิดทำร้ายผู้อื่น เเต่พระองค์ก็ทรงจำต้องให้พรตามที่ลั่นวาจาไว้

"ได้ ข้าจะให้พรเเก่เจ้า เเต่คนหรือสัตว์ที่ถูกเจ้าต่อยจะไม่ตาย ในทันที ส่วนเจ้านั้นเมื่อปล่อยเหล็กในเมื่อใดก็ต้องตายเมื่อนั้น"

ผู้ที่ขอให้เทพยดาทำร้ายผู้อื่น มักต้องได้รับกรรมด้วย

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable038.html

ม้าพยาบาท

ขณะที่ม้ากำลังกินน้ำอย่างหิวกระหายที่ริมลำธารเเห่งหนึ่ง หมูป่าก็เดินลุยลงไปในลำธารจนน้ำขุ่นกินไม่ได้

ม้าโมโหหนักจึงต่อว่าหมูป่าว่าลงมาย่ำน้ำทำไม

"ก็ฉันหิวน้ำเหมือนกันนี่"

หมูป่าตอบอย่างซื่อๆ เเต่ม้านั้นยังโกรธเเค้นไม่หาย จึง ต่อว่า ต่อขานหมูป่าไม่เลิก ในขณะที่หมูป่าก็โต้เถียง ไม่ลดละ

ม้าจึงไปหานายพรานคนหนึ่ง เเละขอให้นายพรานมาฆ่า หมูป่าเสียให้ตาย

นายพรานจึงเอาบังเหียนใส่ปากเเล้วขึ้นนั่งบนหลังม้าควบ ไปยังลำธาร เเล้วก็พุ่งหอกใส่หมูป่าอย่างง่ายดาย

เมื่อเสร็จธุระเเล้วพรานป่าก็บังคับให้ม้าคอยรับใช้ตน ตลอดไป เพราะการล่าสัตว์บนหลังม้านั้นสะดวกสบายดี เเละม้าก็มิอาจปฏิเสธ ได้เพราะถูกล่ามปากด้วยบังเหียน เเล้ว

ถ้าไม่ผูก พยาบาทชีวิตก็จะสุขสงบ

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable045.html

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทาน

ม้าพยาบาท

ขณะที่ม้ากำลังกินน้ำอย่างหิวกระหายที่ริมลำธารเเห่งหนึ่ง หมูป่าก็เดินลุยลงไปในลำธารจนน้ำขุ่นกินไม่ได้

ม้าโมโหหนักจึงต่อว่าหมูป่าว่าลงมาย่ำน้ำทำไม

"ก็ฉันหิวน้ำเหมือนกันนี่"

หมูป่าตอบอย่างซื่อๆ เเต่ม้านั้นยังโกรธเเค้นไม่หาย จึง ต่อว่า ต่อขานหมูป่าไม่เลิก ในขณะที่หมูป่าก็โต้เถียง ไม่ลดละ

ม้าจึงไปหานายพรานคนหนึ่ง เเละขอให้นายพรานมาฆ่า หมูป่าเสียให้ตาย

นายพรานจึงเอาบังเหียนใส่ปากเเล้วขึ้นนั่งบนหลังม้าควบ ไปยังลำธาร เเล้วก็พุ่งหอกใส่หมูป่าอย่างง่ายดาย

เมื่อเสร็จธุระเเล้วพรานป่าก็บังคับให้ม้าคอยรับใช้ตน ตลอดไป เพราะการล่าสัตว์บนหลังม้านั้นสะดวกสบายดี เเละม้าก็มิอาจปฏิเสธ ได้เพราะถูกล่ามปากด้วยบังเหียน เเล้ว

ถ้าไม่ผูก พยาบาทชีวิตก็จะสุขสงบ

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable045.html

นิทาน

สุนัขเฝ้าบ้าน

ชาวไร่คนหนึ่งเลี้ยงเเกะเเละเเพะไว้หลายตัว นอกจากนี้ยังเลี้ยงวัว ไว้ไถนาตัวหนึ่ง กับสุนัขอีก ๒ - ๓ ตัวไว้เฝ้าบ้าน

ครั้นในฤดูหนาวปีหนึ่งมีหิมะตกหนักตลอดเวลาจนชาวไร่ไม่ สามารถออกจากบ้านได้เลย

เมื่อเสบียงหมดลง เขาจึงฆ่าเเกะเเละเเพะกินเป็นอาหาร

เดือนต่อมาก็ฆ่าวัวกินเป็นอาหารประทังชีวิต

สุนัขเฝ้าบ้านจึงปรึกษาหารือกันอย่างร้อนใจว่า

"เเม้เเต่วัวที่เลี้ยงไว้ไถนาเขาก็ยังต้องฆ่ากินเลย ต่อไปคง ถึงคราว ของเราเเน่ พวกเราจะอยู่ต่อไปหรือจะหาทางหนีดีล่ะ"

เมื่อเห็นภัยเกิดเเก่คนใกล้ตัว ก็ควรหาทางระวังตังเองด้วย

ที่มา http://www.fungdham.com/fable/fable.html

เทศกาลปาย.....รักสุดขอบฟ้า

เทศกาลและงานประเพณี

> รายละเอียด

เทศกาลปาย…รักสุดขอบฟ้า ปี2”(Season of Love @ Pai#2)

เทศกาลปาย…รักสุดขอบฟ้า ปี2”(Season of Love @ Pai#2)
วันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ 2553


อำเภอปายเมืองแห่งธรรมชาติขุนเขา วัฒนธรรมรวมถึงอากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติกและ มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองทำให้อำเภอปายเป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวมากมายและเป็นจุดหมายในการเดินทางท่องเที่ยวทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังอำเภอปายเป็นจำนวนมาก อำเภอปายจึงเปรียบเสมือนดินแดนในฝันของนักท่องเที่ยวและคู่รักที่แสวงหาบรรยากาศโรแมนติก





























ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอนร่วมกับอำเภอปาย ชมรมท่องเที่ยวปายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดจัดงาน “เทศกาลปาย…รักสุดขอบฟ้า”(Season of Love @ Pai) ครั้งแรกในวันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ 2552 และได้รับการตอบรับที่ดีจากคู่รักที่เข้าร่วมงานดังกล่าวรวมถึงหน่วยงานทุกภาคส่วนการเรียกร้องให้จัดงานดังกล่าวขึ้นอีกครั้ง ในปี 2553 ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอนททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอนร่วมกับอำเภอปาย ชมรมท่องเที่ยวปายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดงาน“เทศกาลปาย…รักสุดขอบฟ้า ปี2”(Season of Love @ Pai#2) ระหว่างวันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อตอบรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ด้วยการจัดพิธีแต่งงานและจดทะเบียนสมรสสุดพิเศษ แก่คู่รัก โดยมีพิธีแต่งงานที่อำเภอปายในบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขา สายน้ำ สายหมอก และดอกไม้ อันแสนโรแมนติก พร้อมให้ คู่สมรสได้จดทะเบียนสมรส ณ สะพานประวัติศาสตร์ปาย โดย คู่บ่าวสาวจะได้สัมผัสกับพิธีวิวาห์สุดแสนประทับใจตลอด 3 วัน 2 คืนในรีสอร์ทสุดหรู คู่รักทั้งหมดจะสวมใส่ชุดแต่งงานสไตล์ล้านนา เข้าร่วมขบวนแห่คู่บ่าว-สาวสุดอลังการบนหลังช้าง การล่องแพไม้ไผ่ที่ตกแต่งอย่างงดงามในลำน้ำปาย ก่อนการจดทะเบียนสมรส จากนั้นจะมีบริการถ่ายภาพฟรี ณ สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ช่วงเย็นมีงานดินเนอร์ปาร์ตี้ สุดพิเศษริมน้ำปายเฉลิมฉลองงาน “เทศกาลปายรักสุดขอบฟ้าปี2” (Season of Love @ Pai#2)ที่อำเภอปาย เมืองท่องเที่ยวที่สวยงามและโรแมนติก พร้อมต้อนรับบรรดาคู่รักและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศในช่วงเทศกาลแห่งความรัก ระหว่างวันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ 2553 โดยมีค่าใช้จ่าย 10,000 บาทต่อคู่เท่านั้น





























ที่มา www.travelmaehongson.org

การท่องเที่ยวตรัง

เทศกาลและงานประเพณี

> รายละเอียด

งานตรุษจีนเมืองตรัง ปี 2553

จังหวัดตรัง โดยเทศบาลนครตรัง กำหนดจัดงานเทศกาลตรุษจีนเมืองตรังอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2553 ณ บริเวณถนนราชดำเนิน กิจกรรมประกอบด้วย การประกวดหนูน้อยอั่งเปา การประกวดไชน่าเกิร์ล การแสดงเชิดสิงโตเต็มรูปแบบ รำวงย้อนยุค การโชว์ตัวดารา/นักร้อง การแสดงบนเวที การจำหน่ายอาหารตลอดเส้นทางถนนราชดำเนิน และอื่นๆ อีกมากมาย

นายชาลี กางอิ่ม นายกเทศมนตรีนครตรัง กล่าวว่า เทศบาลนครตรังจัดงานตรุษจีนเมืองตรังขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของชาวตรังที่มีมาแต่ดั้งเดิม เนื่องจากพื้นฐานของตรังเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน จึงมีการรับเอาวัฒนธรรมแบบจีนเข้ามาดำรงในชีวิตปัจจุบันมาตั้งแต่ครั้งอดีต เมื่อถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน ในวันแรกเรียกว่าเป็นวันจ่าย ส่วนวันที่สองวันไหว้จะเป็นวันรวมญาติ พี่น้องทุกคนต้องมาไหว้เจ้าก่อนและตามด้วยไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นวันที่สามจะเป็นวันเที่ยว ชาวไทยเชื้อสายจีนจะออกไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวตามสถานที่ต่างๆ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามควรค่าแก่การอนุรักษ์ อีกทั้งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของชาวจีนที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

ที่สำคัญในปีนี้เทศบาลจัดให้มีพิธีรับองค์ไฉ่ซิงเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 23.45 น. เป็นต้นไป และงานเทศกาลตรุษจีนปีนี้ตรงกับช่วงของเทศกาลวันแห่งความรัก วันลาเลนไทน์ ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่จะสร้างสีสันให้กับการท่องเที่ยวของเมืองตรังให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น นายกเทศมนตรีนครตรังกล่าวในต้อนท้าย

ที่มา http://thai.tourismthailand.org/festival-event/content-7197.html

การท่องเที่ยวตรัง

งานวิวาห์ใต้สมุทร 2553

งานวิวาห์ใต้สมุทร 2010
วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ 2553
จังหวัดตรัง

หอการค้าจังหวัดตรัง ร่วมกับ จังหวัดตรัง, เทศบาลนครตรัง, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริม การท่องเที่ยวภายใต้ชื่อ "พิธีวิวาห์ใต้สมุทร" ปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ 14 ขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อฉลองเทศกาลวันแห่งความรัก ณ บริเวณชายหาดปากเมง อ. สิเกา จ.ตรัง ที่มีทิวทัศน์เกาะเมงเป็นฉากหลัง และบรรยากาศที่สงบนิ่งของทะเลตรังรายล้อมทั่วบริเวณที่จัดงานพิธี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัด และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวรู้จักตรังที่เป็นเมืองที่มีความงดงามของท้องทะเล ดินแดนแห่งความรัก มีมนต์เสน่ห์สำหรับท่องเที่ยว ภายใต้ concept ของ "Romantic Destination"

จังหวัดตรัง เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้คนหลงใหลกับความงดงามที่ธรรมชาติบรรจงแต่งแต้ม ทั้งป่า เขาที่สมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด เถื่อนถ้ำที่ละลานตาไปด้วยหินงอกหินย้อย สุดแท้แต่ผู้คนจะ จินตนาการ น้ำตกที่ไหลรินออกจากขุนเขาเกิดเป็นสายน้ำอันฉ่ำเย็น ประกอบกับตรังเป็นดินแดนที่ติด ทะเลทางฝั่งอันดามันทอดเป็นแนวยาว จึงมีหาดทรายขาวสะอาด และดารดาษไปด้วยเกาะแก่ง เป็นแหล่งกำเนิดของแนวปะการังที่สวยงาม อันเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลาและสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ เป็นทั้งบ้าน และที่หลบภัยในยามมรสุม ซ่อนความงดงามของธรรมชาติไว้ ยามเมื่อถึงช่วงเวลาที่ท้องฟ้าใสในเหมันต์ ฤดู ท้องทะเลสีเขียวมรกตอันสงบไร้คลื่นลมแปรปรวน ท่ามกลางความสดชื่นของมวลหมู่พันธุ์ไม้และ สรรพสัตว์ บรรยากาศของเมืองตรังในยามนี้ยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะช่วงนี้ ของทุกปีเป็นห้วงเวลาที่ดอกศรีตรังกำหลังผลิดอกสีม่วงสดใส พร้อมเผยโฉมต้อนรับให้ผู้คนได้เดินทาง เข้าไปสัมผัสและชมความงดงาม

จุดเริ่มต้น

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2539 จังหวัดตรังเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในฐานะที่ได้สร้างตำนานรักอันยิ่ง ใหญ่เป็นครั้งแรกของโลก ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและทะเลสีเขียวมรกตที่สวยงามของทะเลเมืองตรัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นความประทับใจมิรู้ลืมของคู่รักหนุ่มสาวนักดำน้ำคู่หนึ่งที่หลงใหลความงดงามของ โลกใต้ท้องทะเลและจากกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติใต้ท้องทะเลใน โครงการคืนธรรมชาติสู่แหล่งปะการัง ครั้งที่ 1 เป็นเสมือนสายใยแห่งรักของหนุ่มสาวที่เริ่มก่อตัวขึ้น จนแน่นแฟ้นครั้งนั้น นำไปสู่พิธีวิวาห์ใต้สมุทรที่โด่งดังไปทั่วโลกวันนี้

พิธีวิวาห์ใต้สมุทร เกิดขึ้นโดยการริเริ่มของคุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในขณะนั้น และคุณสุรินทร์ โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรังในสมัยนั้นได้ร่วมกันบันดาลความฝันของคู่รัก ให้เป็นจริงโดยได้จัดให้มีการจดทะเบียนสมรสใต้ทะเลในชื่อ "พิธีวิวาห์ใต้สมุทร" ซึ่งพิธีที่จังหวัดตรัง ได้จัดขึ้น นอกจากจะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและจังหวัดในฐานะที่จัดพิธีจดทะเบียนสมรสใต้สมุทร เป็นแห่งแรกในโลกแล้ว ในปีต่อ ๆ มายังได้สร้างชื่อเสียงจนได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกในหนังสือ กินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Records) ว่าเป็นวิวาห์ใต้สมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในฐานะ ที่มีคู่สมรสเข้าร่วมแต่งงานใต้น้ำมากที่สุดและยังเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้เข้าร่วมในพิธีด้วยซึ่งเมื่อถึง เทศกาลวันแห่งความรักจะมีการจัดพิธีดังกล่าว เรียกว่าเป็นประเพณีของจังหวัดตรัง หนุ่มสาวคู่รักมาก มายต่างหมายจะได้ไปเยือน เพื่อเติมเต็มความรักให้แก่กัน และร่วมสร้างความประทับใจ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก

พิธีวิวาห์ใต้สมุทร เป็นการเผยแพร่พิธีแต่งงานที่งดงามแบบไทยให้นักท่องเที่ยว คู่รักและนักดำน้ำ ชาวต่างประเทศที่สนใจได้เข้าร่วมงาน โดยนำเสนอความเป็นไทยแท้ เริ่มตั้งแต่พิธีทาง ศาสนา พิธีแห่ขันหมาก พิธีรดน้ำสังข์ พิธีการส่งตัวเข้าหอ โดยยึดคติความเชื่อที่ว่า ต้องมีคู่รักที่อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่ามาทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล แม้แต่การแต่งกายของคู่บ่าวสาวที่เน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย ใช้ผ้าไทยนำมาตัดเย็บซึ่งจะสร้างความประทับใจให้กับคู่บ่าวสาวทุกคู่ที่ได้เข้าร่วมงาน คู่รักที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานจดทะเบียนสมรสใต้สมุทร เช่น คู่ของคุณศึกษา ลักษณะพริ้ม เลขานุการสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยและภรรยา ได้เปิดเผยถึงความประทับใจ ที่มิอาจลืมเลือนว่า "ผมเป็นคนจังหวัดตรัง ตนและภรรยาได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสจัดพิธีแต่งงาน และสนใจอยากเข้าร่วมงานวิวาห์ใต้สมุทรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต จึงได้เข้าร่วมงานวิวาห์ใต้สมุทร โดยได้ฝึกการดำน้ำอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัย สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกยินดีที่งานวิวาห์ใต้สมุทรได้เปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ เป็นการให้ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันที่สำคัญรู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนบำเพ็ญประโยชน์ในการส่งเสริม และสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดตรังในขณะเดียวกันพิธีวิวาห์ใต้สมุทรยังเปิดโอกาสให้คู่รักที่เคย แต่งงานกันเมื่อปีก่อนๆ มาร่วมงานซึ่งเป็นเหมือนการฮันนีมูนและสร้างประสบการณ์ให้กับครั้งหนึ่งในชีวิต รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่รักการท่องเที่ยวและการดำน้ำสามารถเดินทางมาในร่วม ฉลองเทศกาลแห่งความรัก และสัมผัสกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักและความงดงามของท้องทะเลตรัง


ที่มา http://thai.tourismthailand.org/festival-event/

การละเล่นของไทย

อุปกรณ์การละเล่นของแต่ละท้องถิ่น

ในแต่ละท้องถิ่น เด็ก ๆ จะคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ประกอบการละเล่นหรือทำของเล่นขึ้นมาเอง โดยนำวัสดุที่มีตามธรรมชาติหาได้ใกล้ตัวมาใช้ เช่น


เด็กภาคเหนือ จะนำมะม่วงขนาดเล็กที่กินไม่ได้มาร้อยเชือกแล้วใส่เดือย นำมาใช้ตีกันเรียกว่าเล่นไก่มะม่วง
หรือนำเอาไม้เล็ก ๆ มาเล่นกับลูกมะเขือ หรือมะนาวเรียกว่า หมากเก็บ
ไม้หรือไม้แก้งขี้ เล่นเก็บดอกงิ้ว ซึ่งคนเล่นจะรอให้ดอกงิ้วหล่น ใครเห็นก่อนก็ร้อง
อิ๊บมีสิทธิ์ได้ดอกงิ้วดอกนั้นไปร้อยใส่เถาวัลย์ ใครได้มากที่สุดก็ชนะ
เล่นบ่าขี้เบ้าทรายก็ใช้ทรายปนดินที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ มากลิ้งในร่องซึ่งขุดกันริมตลิ่งแม่น้ำนั่นเอง ของเล่นที่ทำกันก็เช่น


ที่มา www.tungsong.com

นิทาน

เเม่กวางกับลูก

เเม่กวางพาลูกน้อยออกไปหาอาหารที่ชายป่า ครั้นพอ ได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อ เเม่กวางก็รีบชวนลูกวิ่งหนีเตลิด เข้าป่าทันที

เเม่กวางจึงถามเเม่ว่า

"ทำไมเเม่ต้องกลัวหมาล่าเนื้อด้วยล่ะจ๊ะ ในเมื่อเเม่ ตัวโตกว่า ว่องไวกว่า เเล้วก็ยังมีเขาเเหลมๆ ที่เจ้าหมา ไม่มีอีกด้วย"

เเม่กวางฟังเเล้วก็ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกลูก ตามตรงว่า

"เเม่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวมัน เเต่เห็นสัตว์อื่นๆ ก็กลัวมันนะลูก เเค่ได้ยินเสียงมันเห่ามาเเต่ไกลก็ต้องวิ่ง ทุกทีเลยล่ะจ้ะ"

คนที่ไม่เคยคิดสู้ ย่อมมีเเต่ความกลัวตลอดไป

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

นิทาน

ลิงอวดเก่ง

ชาวประมงวางอวนในเเม่น้ำเเล้วก็กลับไปหาข้าวหาปลากิน ที่กระท่อม

ลิงตัวหนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนก็ทำ อย่างชาวประมงได้เช่นกัน

"ไม่น่าจะยากเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลา"

คิดดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้มาหยิบอวนอีกปากหนึ่งไปที่ ริมน้ำ

เเต่ด้วยความที่ไม่เป็นประสา อวนจึงพันตัวอีรุงตุงนังจนกลิ้ง ตกลงไปในน้ำพลางดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก

หาญทำในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

ราชสีห์กับหนู

ราชสีห์กับหนู

ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตามลำตัวโดยไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะครุบเอาไว้ด้วยความโกรธ

ขณะจะลงมือสังหารก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคำวิงวอน“ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะข้าทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย” “ฮึ..ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้วอย่ามากวนใจอีกล่ะ”

ราชสีห์ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าจึงยอมเลิกรา “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวันหน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรดส่งเสียงคำราม ข้าจะรีบมาทันที”“

ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทำอะไรให้ข้าได้ ไป..รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ”หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาดท่าไปติดบ่วงของนายพราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่นป่า หนูจำเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง

อย่าดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่าตน

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

เเกะกับหมาป่า

เเกะกับหมาป่า

หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า

"การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ก็เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ"

หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย

โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้าฝูงเเกะไปเสียหมด

หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จับเเกะกินเป็นอาหารได้อย่าง สะดวกสบาย

ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

กาหลงฝูง

กาหลงฝูง

เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็บ ขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักเเซมใส่ขนของตน จนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่าง นกยูงบ้าง

" ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับ พวกเจ้าดีกว่า"
การังเกียจพวกพ้องของตนเเล้วออกจากกลุ่มเข้าไป ปะปนอยู่กับฝูงนกยูง

พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูง ที่เเซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือเเต่ขนจริงสีดำสนิท

กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้นกลับไปหาพวก ของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย

ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่น รังเกียจด้วย

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html -

ชาวนากับงูเห่า

ชาวนากับงูเห่า

ชาวนาเดินออกจากบ้านในเช้าฤดูหนาววันหนึ่ง

ระหว่างทางพบงูเห่าตัวหนึ่งนอนตัวเเข็งใกล้ตายอยู่บนคันนา ด้วยความเหน็บหนาว

ชาวนาเวทนานักจึงก้มลงประคองมันขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมเเขน เพื่อให้มันคลายหนาว

เมื่องูเห่าได้รับความอบอุ่นก็เริ่มมีกำลังขึ้น มันจึงกัดชาวนา ก่อนที่จะเลื้อยหนีไป

ชาวนาทนพิษบาดเเผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตายในไม่ช้า

ข้องแวะกับคนชั่ว อาจนำภัยมาให้ (นิทานเรื่องนี้ตรงกับมงคลชีวิตข้อที่ 1 คือไม่คบคนพาล)

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

กบกับหนู

กบกับหนู

หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย

กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ

เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน

คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสีย

ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html

กระต่ายกับเต่า

กระต่ายกับเต่า
มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร "
นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ " เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ
พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง

ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง"

ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ"


ที่มา http://sukumal.net/isoppu/kametousagi/usagi01.html

อุปกรณ์และวิธีเล่น เป็นวัตถุประดิษฐ์ที่เด็กกระบี่ในสมัยก่อนนิยมเล่นกัน วิธีการประดิษฐ์นำไม้ไผ่ขนาดเล็ก มาตัดให้เหลือ ๑ ปล้องมีรูกลวงตรงกลางตลอดลำ (ยาวประมาณ ๑ คืบ) เรียกส่วนนี้ว่า "บอกฉับโผง"จากนั้นนำไม้ไผ่ความยาวประมาณ ๑.๕ คืบมาเกลาให้กลม ขนาดพอที่จะกระทุ้งเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ได้ พร้อมทั้งใช้ไม้ไผ่ขนาดเท่ากระบอกฉับโผงความยาวประมาณ ๐.๕ คืบ สวมโคนไม้ไผ่ส่วนที่ยาวเกินกระบอก ชิ้นส่วนนี้เรียกว่า "ด้ามจับ"วิธีการเล่น นำลูกพลา (ผลไม้ป่ามีลักษณะผลเป็นช่อคล้ายมะเขือพวงแต่ลูกเล็กกว่า) อัดเข้าไปในกระบอกฉับโผง แล้วมือข้างหนึ่งถือกระบอกมือข้างหนึ่งถือด้ามจับสอดปลายด้ามจับกระทุ้งไปด้านหน้าแรงๆให้แรงอัดดันลูกพลาพุ่งออกไปนอกกระบอกโอกาสและเวลาที่เล่นการเล่นฉับโผงไม่จำกัด โอกาสและเวลาที่เล่น สามารถใช้เล่นยิงกันแทนปืนหรือยิงวัตถุที่เป็นเป้าได้ทุกโอกาสคุณค่าและแนวคิดการเล่นฉับโผงส่วนใหญ่แล้วนิยมเล่นกันเป็นกลุ่มๆก่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะฝึกความแม่นยำและฝึกความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือและเป็นการฝึกให้เด็กๆได้นำวัสดุจากธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นของเล่น
ที่มา http://www.prapayneethai.com/th/amusement/south/view.asp?id=0759