วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สถานที่ท้องเที่ยว จ.ภูเก็ต
เขารัง เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่หลังตัวเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รถยนต์สามารถขึ้นไปจนถึงยอดเขา เทศบาลจัดเป็นสวนสุขภาพและสวนสาธารณะ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และชมทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต จากยอดเขาจะแลเห็นตัวเมืองภูเก็ต ทะเลกว้าง เกาะเล็ก เกาะน้อย รวมทั้งทิวทัศน์ของเกาะทั้งใกล้และไกล
สะพานหิน สถานที่พักผ่อนหย่อนใจภายในตัวเมือง อยู่สุดถนนภูเก็ตซึ่งยื่นลงไปในทะเลเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์หลัก 60 ปี ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นที่ระลึกแก่กัปตันเอ็ดเวิร์ด โธมัสไมล์ ชาวออสเตรเลียผู้นำเรือขุดแร่ลำแรกมาใช้ขุดแร่ดีบุกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2452
ตึกสมัยเก่าในตัวเมืองภูเก็ตส่วนมากเป็นตึกสมัยเก่าแบบยุโรป สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว เมื่อครั้งกิจการเหมืองแร่เริ่มเจริญใหม่ๆ ตึกสมัยเก่าเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมแบบจีนด้วยจึงเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบซิโน-โปรตุกีส ลักษณะตึกสมัยเก่าของภูเก็ตนั้นจะมีส่วนลึกมากกว่าส่วนกว้างและไม่สูงนัก ปัจจุบันจะหาดูได้บริเวณถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนเยาวราช และถนนกระบี่ นอกจากนี้ยังมีตึกโบราณที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ศาลจังหวัดภูเก็ต และธนาคารนครหลวงไทย เป็นต้น
เกาะสิเหร่ เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต อยู่ห่างจากตัวเมืองรวม 4 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันนี้ถือเป็นพื้นที่อันเดียวกับเกาะภูเก็ต มีคลองเล็กๆ ชื่อคลองท่าจีนคั่นเท่านั้น ประชากรที่เกาะสิเหร่นี้ส่วนหนึ่งเป็นชาวเล หรือชาวน้ำ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในจำนวนชาวเลที่อาศัยอยู่ในเกาะภูเก็ต เกาะสิเหร่ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่อยู่บนยอดเขา ชายหาดไม่เหมาะสำหรับการการเล่นน้ำ พื้นทรายมีโคลนปน
หมู่บ้านชาวเลชาวเลหรือชาวน้ำ หรือชาวไทยใหม่ เป็นชนกลุ่มน้อยของไทย อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่อยู่ตามเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ในเกาะภูเก็ตมีชาวเลอาศัยอยู่ที่หาดราไว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 17 กิโลเมตร และที่เกาะสิเหร่บริเวณแหลมตุ๊กแก
วัดฉลองอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 8 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4021 ผ่านสามแยกบริเวณสนามกีฬาสุรกุล เลี้ยวซ้ายไปทางห้าแยกฉลอง วัดฉลองจะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงห้าแยกฉลองประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต มีรูปหล่อของหลวงพ่อแช่ม และหลวงพ่อช่วง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวภูเก็ตทั่วไป
อ่าวฉลองอยู่ห่างตัวเมือง 11 กิโลเมตร ทางทิศใต้ของเกาะภูเก็ตไปตามทางที่ไปหาดราไว เมื่อถึงห้าแยกฉลองเลี้ยวซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตรถึงอ่าวฉลอง มีสะพานไม้ทอดยาว ไปในทะเล ชายหาดเป็นรูปโค้งยาวเหยียดมองเห็นทิวมะพร้าวริมหาดเอนลู่ออกทะเล ทะเลบริเวณนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะหาดเป็นโคลน ที่อ่าวฉลองนี้นักท่องเที่ยวจะเช่าเรือไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ หรือเช่าไปตกปลาได้
หาดแหลมกา ใหญ่เป็นหาดเล็กๆ ห่างจากตัวเมือง 16 กิโลเมตร จากห้าแยกฉลอง ใช้ทางหลวง 4024 ทางเข้าอยู่ตรงข้ามวัดสว่างอารมณ์ บริเวณหาดมีเรือให้เช่าไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะเฮ เกาะบอน เป็นต้น
หาดราไว อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 17 กิโลเมตร เส้นทางจาห้าแยกฉลองไปสู่หาดราไว (ทางหลวง 4024) เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดสายหนึ่งของภูเก็ต หาดราไว เป็นหาดที่สวยงามและมีชาวเลอาศัยอยู่
เกาะแก้ว อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร นั่งเรือจากหาดราไวประมาณ 30 นาที มีหาดทรายและธรรมชาติใต้น้ำสวยงามมาก บนเกาะมีรอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ด้วย
แหลมพรหมเทพ อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า บริเวณแหลมพรหมเทพเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดส่วนหนึ่งของเกาะภูเก็ต เหนือแหลมพรหมเทพเป็นที่ราบสำหรับจอดรถซึ่งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล จากหน้าผานี้จะมองเห็นแหลมพรหมเทพทอดยาวออกไปในทะเล จะเห็นเกาะหลายเกาะรวมทั้งเกาะแก้ว ทางด้านขวามือจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหานชัดเจน จากบนหน้าผามีทางเดินลงเขาไปจนถึงสุดแหลมพรหมเทพได้ เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกได้งดงามยิ่งนัก
หาดในหานเป็นหาดที่อยู่ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปทางทิศเหนือ อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 18 กิโลเมตร มีทางไปได้หลายทาง จะไปจากหาดราไวโดยผ่านหรือไม่ผ่านแหลมพรหมเทพก็ได้ หรือถ้ามาจากห้าแยกฉลองไปทางหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปบ้านใสยวน หนองหาน ประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดในหานไม่ยาวนัก หาดทรายขาวสะอาด ด้านหลังของชายหาดเป็นบึง ชาวบ้านเรียกว่าหนองหาน ระหว่างทะเลและบึงมีเพียงหาดทรายของหาดในหานขวางกั้นอยู่เท่านั้น ในช่วงฤดูมรสุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม คลื่นจะแรงมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำเพราะอาจเกิดอันตรายได้
อ่าวเสน เป็นอ่าวเล็กๆ ติดกับหาดในหานไปทางขวา ผ่านโรงแรมภูเก็ตยอช์ทคลับ เป็นชายหาดเล็กๆ ที่สงบ มีโขดหินน้อยใหญ่ หาดทรายขาวสะอาด
จุดชมวิวจากหาดในหานไปหาดกะตะน้อยตามเส้นทางถนนรอบเกาะ จุดชมวิวจะอยู่ระหว่าง 2 หาดนี้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเวิ้งอ่าวถึง 3 อ่าว คือ อ่าวกะตะน้อย อ่าวกะตะ และอ่าวกะรน ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก
อ่าวกะตะอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 17 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ต เมื่อถึงห้าแยกฉลอง เลี้ยวขวาไปตามทางตามถนนหมายเลข 4028 อ่าวกะตะแบ่งออกเป็น 2 อ่าวคือ อ่าวกะตะใหญ่ กับอ่าวกะตะน้อย ทั้งสองอ่าวมีหาดทรายและชายหาดที่สวยงามเหมาะแก่การเล่นน้ำ และใช้เป็นที่ฝึกดำน้ำ เนื่องจากมีแนวปะการังติดต่อกันไปจนถึงเกาะปูซึ่งอยู่ด้านหน้าหาดกะตะ ปัจจุบันหาดกะตะ เป็นหาดหนึ่งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า แหล่งบันเทิงต่างๆ ไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว
อ่าวกะรนอยู่ถัดจากอ่าวกะตะขึ้นไปทางเหนือมีเพียงเนินเขาเตี้ยๆ คั่นอยู่เท่านั้น แต่ถ้าจะไปที่กลางอ่าวกะรนและหมู่บ้านกะรน มีถนนแยกจากอ่าวกะตะไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร อ่าวกะรนใหญ่กว่าอ่าวกะตะ มีชายหาดยาวเหยียด เหนือชายหาดเป็นเนินทรายสูงๆ ต่ำๆ มีสนทะเลต้นใหญ่ๆ และต้นตาลขึ้นเรียงรายอยู่โดยทั่วไป หาดทรายที่อ่าวกะรนขาวสะอาดและละเอียดมาก
สถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำ ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมพันวา มีพันธุ์ปลาน้ำจืดและน้ำเค็มกว่า 100 ชนิด แสดงให้ชม เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชมเด็กและนักเรียน นักศึกษา คนละ 5 บาท ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท จากตลาดบริเวณถนนระนองจะมีรถสองแถวรับจ้างออกตั้งแต่เวลา 09.00 น. ทุกๆ ชั่วโมง จนถึง 15.00 น. รายละเอียดติดต่อโทร. (076) 391126, 391041
สวนผีเสื้อและอควาเรียมภูเก็ตตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร เดินทางไปตามถนนเยาวราชแล้วเลี้ยวซ้ายที่สามแยกหมู่บ้านสามกองไปเล็กน้อย เป็นสถานที่รวบรวมและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในเขตร้อนจำพวกผีเสื้อ แมลง ปลา และปะการัง โดยจัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับธรรมชาติ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ชาวต่างประเทศเด็ก 50 ชาวต่างประเทศผู้ใหญ่ 120 บาท รายละเอียดติดต่อ โทร. (076) 215616, 210861
หมู่บ้านไทยและสวนกล้วยไม้ภูเก็ตอยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร บนถนนเทพกษัตรีย์ ภายในมีการแสดงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การแสดงของช้าง ฟาร์มกล้วยไม้ ฯลฯ เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น. การแสดงรอบเช้าเริ่มเวลา 11.00 น. รอบเย็นเวลา 17.30 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 25 บาท ชาวต่างประเทศผู้ใหญ่ 230 บาท ชาวต่างประเทศเด็ก 120 บาทรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทร. (076) 214860-1
ฟาร์มชนะเจริญตั้งอยู่ที่ถนนชนะเจริญ หลังโรงภาพยนตร์พาราไดซ์ในตัวเมืองภูเก็ต เป็นฟาร์มเลี้ยงจระเข้น้ำจืดและจระเข้น้ำเค็ม เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. มีการแสดงของช้าง วันละ 2 รอบ เวลา 12.30 น. และ 14.45 น. ค่าเข้าชมคนไทย 40 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท
ที่มา http://www.relaxzy.com/province/phuket/attraction.html
วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
นิทาน
พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง
เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว
วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า
"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"
คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต
ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง
นิทาน
เมื่อสิงโตคำรามในยามออกล่าเหยื่อ สัตว์ต่างๆ ที่ผ่าน มาก็จะหวาดกลัวเเละรู้ว่าเป็นเสียงสิงโตจึงมักวิ่งหนี ไปได้ก่อนที่จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของสิงโต
สิงโตจึงทำอุบายไปตีสนิทกับลาเเล้วชวนลาไปล่าเหยื่อ ด้วยกันลาดีใจนักที่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าป่าจึงทำตามที่ สิงโตบอกทุกอย่าง
ลาเข้าไปซุ่มซ่อนในพงไม้ พอสัตว์ต่างๆ ผ่านมาลาก็จะ เเหกปากร้องสุดเสียง พวกสัตว์ต่างๆ ไม่เคยได้ยินเสียง ลา จึงพากันวิ่งไปอีกทางหนึ่งซึ่งสิงโตดักซุ่มอยู่
วันนั้นสิงโตจึงได้อิ่มหนำสำราญกับสัตว์นานาชนิด
ลาก็คุยโอ่อย่างภูมิใจว่าที่สิงโตกินอิ่มได้ก็เพราะเสียง อันน่ากลัวของตน สิงโตก็ได้เเต่ยกยอปอปั้นลาทั้งๆ ที่รู้ว่าสัตว์ต่างๆ นั้นวิ่งหนี เพราะตกใจในเสียงประหลาดๆ ของลาต่างหาก
คนโง่ย่อมตกเป็นเครื่องมือของคนฉลาด
นิทาน
พระอิศวรตรัสถามผึ้งที่มักจะนำน้ำผึ้งสดๆ เต็มรวงมาถวาย อยู่เสมอว่า
"เจ้าอยากได้พรใด จงขอมา ข้าจะให้พรเเก่เจ้า"
"ข้าอยากได้เหล็กในพระเจ้าข้า เมื่อต่อยเหล็กในมีพิษใส่ใคร ผู้นั้นต้องตายทันที"
คำขอของผึ้งทำให้พระอิศวรทรงกริ้วที่ผึ้งคิดทำร้ายผู้อื่น เเต่พระองค์ก็ทรงจำต้องให้พรตามที่ลั่นวาจาไว้
"ได้ ข้าจะให้พรเเก่เจ้า เเต่คนหรือสัตว์ที่ถูกเจ้าต่อยจะไม่ตาย ในทันที ส่วนเจ้านั้นเมื่อปล่อยเหล็กในเมื่อใดก็ต้องตายเมื่อนั้น"
ผู้ที่ขอให้เทพยดาทำร้ายผู้อื่น มักต้องได้รับกรรมด้วย
ขณะที่ม้ากำลังกินน้ำอย่างหิวกระหายที่ริมลำธารเเห่งหนึ่ง หมูป่าก็เดินลุยลงไปในลำธารจนน้ำขุ่นกินไม่ได้
ม้าโมโหหนักจึงต่อว่าหมูป่าว่าลงมาย่ำน้ำทำไม
"ก็ฉันหิวน้ำเหมือนกันนี่"
หมูป่าตอบอย่างซื่อๆ เเต่ม้านั้นยังโกรธเเค้นไม่หาย จึง ต่อว่า ต่อขานหมูป่าไม่เลิก ในขณะที่หมูป่าก็โต้เถียง ไม่ลดละ
ม้าจึงไปหานายพรานคนหนึ่ง เเละขอให้นายพรานมาฆ่า หมูป่าเสียให้ตาย
นายพรานจึงเอาบังเหียนใส่ปากเเล้วขึ้นนั่งบนหลังม้าควบ ไปยังลำธาร เเล้วก็พุ่งหอกใส่หมูป่าอย่างง่ายดาย
เมื่อเสร็จธุระเเล้วพรานป่าก็บังคับให้ม้าคอยรับใช้ตน ตลอดไป เพราะการล่าสัตว์บนหลังม้านั้นสะดวกสบายดี เเละม้าก็มิอาจปฏิเสธ ได้เพราะถูกล่ามปากด้วยบังเหียน เเล้ว
ถ้าไม่ผูก พยาบาทชีวิตก็จะสุขสงบ
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
นิทาน
ขณะที่ม้ากำลังกินน้ำอย่างหิวกระหายที่ริมลำธารเเห่งหนึ่ง หมูป่าก็เดินลุยลงไปในลำธารจนน้ำขุ่นกินไม่ได้
ม้าโมโหหนักจึงต่อว่าหมูป่าว่าลงมาย่ำน้ำทำไม
"ก็ฉันหิวน้ำเหมือนกันนี่"
หมูป่าตอบอย่างซื่อๆ เเต่ม้านั้นยังโกรธเเค้นไม่หาย จึง ต่อว่า ต่อขานหมูป่าไม่เลิก ในขณะที่หมูป่าก็โต้เถียง ไม่ลดละ
ม้าจึงไปหานายพรานคนหนึ่ง เเละขอให้นายพรานมาฆ่า หมูป่าเสียให้ตาย
นายพรานจึงเอาบังเหียนใส่ปากเเล้วขึ้นนั่งบนหลังม้าควบ ไปยังลำธาร เเล้วก็พุ่งหอกใส่หมูป่าอย่างง่ายดาย
เมื่อเสร็จธุระเเล้วพรานป่าก็บังคับให้ม้าคอยรับใช้ตน ตลอดไป เพราะการล่าสัตว์บนหลังม้านั้นสะดวกสบายดี เเละม้าก็มิอาจปฏิเสธ ได้เพราะถูกล่ามปากด้วยบังเหียน เเล้ว
ถ้าไม่ผูก พยาบาทชีวิตก็จะสุขสงบ
นิทาน
ชาวไร่คนหนึ่งเลี้ยงเเกะเเละเเพะไว้หลายตัว นอกจากนี้ยังเลี้ยงวัว ไว้ไถนาตัวหนึ่ง กับสุนัขอีก ๒ - ๓ ตัวไว้เฝ้าบ้าน
ครั้นในฤดูหนาวปีหนึ่งมีหิมะตกหนักตลอดเวลาจนชาวไร่ไม่ สามารถออกจากบ้านได้เลย
เมื่อเสบียงหมดลง เขาจึงฆ่าเเกะเเละเเพะกินเป็นอาหาร
เดือนต่อมาก็ฆ่าวัวกินเป็นอาหารประทังชีวิต
สุนัขเฝ้าบ้านจึงปรึกษาหารือกันอย่างร้อนใจว่า
"เเม้เเต่วัวที่เลี้ยงไว้ไถนาเขาก็ยังต้องฆ่ากินเลย ต่อไปคง ถึงคราว ของเราเเน่ พวกเราจะอยู่ต่อไปหรือจะหาทางหนีดีล่ะ"
เมื่อเห็นภัยเกิดเเก่คนใกล้ตัว ก็ควรหาทางระวังตังเองด้วย
เทศกาลปาย.....รักสุดขอบฟ้า
เทศกาลและงานประเพณี | > รายละเอียด |
|
การท่องเที่ยวตรัง
เทศกาลและงานประเพณี | > รายละเอียด |
|
การท่องเที่ยวตรัง
| ||
|
ที่มา http://thai.tourismthailand.org/festival-event/
การละเล่นของไทย
อุปกรณ์การละเล่นของแต่ละท้องถิ่น |
ในแต่ละท้องถิ่น เด็ก ๆ จะคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ประกอบการละเล่นหรือทำของเล่นขึ้นมาเอง โดยนำวัสดุที่มีตามธรรมชาติหาได้ใกล้ตัวมาใช้ เช่น หรือนำเอาไม้เล็ก ๆ มาเล่นกับลูกมะเขือ หรือมะนาวเรียกว่า หมากเก็บ ไม้หรือไม้แก้งขี้ เล่นเก็บดอกงิ้ว ซึ่งคนเล่นจะรอให้ดอกงิ้วหล่น ใครเห็นก่อนก็ร้อง “อิ๊บ” มีสิทธิ์ได้ดอกงิ้วดอกนั้นไปร้อยใส่เถาวัลย์ ใครได้มากที่สุดก็ชนะ เล่นบ่าขี้เบ้าทรายก็ใช้ทรายปนดินที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ มากลิ้งในร่องซึ่งขุดกันริมตลิ่งแม่น้ำนั่นเอง ของเล่นที่ทำกันก็เช่น |
ที่มา www.tungsong.com
นิทาน
เเม่กวางพาลูกน้อยออกไปหาอาหารที่ชายป่า ครั้นพอ ได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อ เเม่กวางก็รีบชวนลูกวิ่งหนีเตลิด เข้าป่าทันที
เเม่กวางจึงถามเเม่ว่า
"ทำไมเเม่ต้องกลัวหมาล่าเนื้อด้วยล่ะจ๊ะ ในเมื่อเเม่ ตัวโตกว่า ว่องไวกว่า เเล้วก็ยังมีเขาเเหลมๆ ที่เจ้าหมา ไม่มีอีกด้วย"
เเม่กวางฟังเเล้วก็ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกลูก ตามตรงว่า
"เเม่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวมัน เเต่เห็นสัตว์อื่นๆ ก็กลัวมันนะลูก เเค่ได้ยินเสียงมันเห่ามาเเต่ไกลก็ต้องวิ่ง ทุกทีเลยล่ะจ้ะ"
คนที่ไม่เคยคิดสู้ ย่อมมีเเต่ความกลัวตลอดไป
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
นิทาน
ชาวประมงวางอวนในเเม่น้ำเเล้วก็กลับไปหาข้าวหาปลากิน ที่กระท่อม
ลิงตัวหนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนก็ทำ อย่างชาวประมงได้เช่นกัน
"ไม่น่าจะยากเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลา"
คิดดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้มาหยิบอวนอีกปากหนึ่งไปที่ ริมน้ำ
เเต่ด้วยความที่ไม่เป็นประสา อวนจึงพันตัวอีรุงตุงนังจนกลิ้ง ตกลงไปในน้ำพลางดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก
หาญทำในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
ราชสีห์กับหนู
ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตามลำตัวโดยไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะครุบเอาไว้ด้วยความโกรธ
ขณะจะลงมือสังหารก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคำวิงวอน“ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะข้าทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย” “ฮึ..ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้วอย่ามากวนใจอีกล่ะ”
ราชสีห์ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าจึงยอมเลิกรา “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวันหน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรดส่งเสียงคำราม ข้าจะรีบมาทันที”“
ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทำอะไรให้ข้าได้ ไป..รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ”หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาดท่าไปติดบ่วงของนายพราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่นป่า หนูจำเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง
อย่าดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่าตน
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
เเกะกับหมาป่า
หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า
"การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ก็เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ"
หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย
โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้าฝูงเเกะไปเสียหมด
หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จับเเกะกินเป็นอาหารได้อย่าง สะดวกสบาย
ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
กาหลงฝูง
เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็บ ขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักเเซมใส่ขนของตน จนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่าง นกยูงบ้าง
" ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับ พวกเจ้าดีกว่า"
การังเกียจพวกพ้องของตนเเล้วออกจากกลุ่มเข้าไป ปะปนอยู่กับฝูงนกยูง
พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูง ที่เเซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือเเต่ขนจริงสีดำสนิท
กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้นกลับไปหาพวก ของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่น รังเกียจด้วย
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html -
ชาวนากับงูเห่า
ชาวนาเดินออกจากบ้านในเช้าฤดูหนาววันหนึ่ง
ระหว่างทางพบงูเห่าตัวหนึ่งนอนตัวเเข็งใกล้ตายอยู่บนคันนา ด้วยความเหน็บหนาว
ชาวนาเวทนานักจึงก้มลงประคองมันขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมเเขน เพื่อให้มันคลายหนาว
เมื่องูเห่าได้รับความอบอุ่นก็เริ่มมีกำลังขึ้น มันจึงกัดชาวนา ก่อนที่จะเลื้อยหนีไป
ชาวนาทนพิษบาดเเผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตายในไม่ช้า
ข้องแวะกับคนชั่ว อาจนำภัยมาให้ (นิทานเรื่องนี้ตรงกับมงคลชีวิตข้อที่ 1 คือไม่คบคนพาล)
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
กบกับหนู
หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน
คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสีย
ที่มา www.fungdham.com/fable/fable.html
กระต่ายกับเต่า
มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร "
นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ " เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ
พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความเงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง
ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง"
ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างที่เต่าได้พบนะคะ"
ที่มา http://sukumal.net/isoppu/kametousagi/usagi01.html
ที่มา http://www.prapayneethai.com/th/amusement/south/view.asp?id=0759